วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เงาะ

เงาะ มีคุณค่า มากเกินตัว

สรรพคุณ ประโยชน์ของเงาะ
   หากลองนึกย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยเด็กว่า ผลไม้ชนิดแรกที่เรารู้จักกันนั้นคืออะไร เชื่อว่าต้องมีไม่น้อยเลยที่บอกว่าคือ "เงาะ" เพราะเป็นผลไม้ที่คนส่วนใหญ่นิยมกินกันมากและมีวางขายอยู่ทั่วไปในช่วงฤดูกาล ลักษณะภายนอกของผลเงาะมีขนขึ้้นตามเปลือกที่มีสีแดงๆ และยังเป็นผลไม้โปรดของหลายคน ด้วยเนื้อข้างในของเงาะมีรสชาติที่หวาน กรอบ และอมเปรี้ยวนิดๆ นอกจากนี้ทุกคนก็คงคิดไม่ออกแล้วว่าเงาะจะมีอะไรที่พิเศษไปกว่าความอร่อย แต่รู้หรือไม่ว่า สรรพคุณและประโยชน์ของเงาะ เรียกว่าใหญ่เกินตัวเลยทีเดียว

สรรพคุณทางยา...คุณค่าเกินตัวของเงาะ

             ขอบอกให้ไปบอกต่อๆ กันเลยว่า เจ้าเงาะลูกน้อยนี้ยังมีคุณสมบัติเป็นยาสมุนไพรอีกด้วยแหละ นั่น...ทำ หน้างงกันใหญ่เลย แถมยังสงสัยอีกแน๊ะว่าจริงเหรอ?...ต้องบอกกันเลยแล้วกันว่า 
เงาะนั้นถือเป็นผลไม้ดับร้อน เมื่อกินเนื้อข้างในเข้าไปแล้วจะสร้างความฉ่ำเย็นให้แก่ร่างกาย มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยสารอาหารที่สำคัญมากมาย อาทิ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินซี 
แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ไนอาซิน และใยอาหาร
เงาะมีฤทธิ์และสรรพคุณในการช่วยป้องกันและบรรเทาอาการป่วยจากโรคได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นช่วยป้องกันโรคหวัด มีสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็ง แก้อาการท้องร่วงได้ผลดีมาก นอกจากนี้ในส่วนของเปลือกเงาะก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพไม่น้อย เพราะมีการวิจัยสกัด "สารแทนนิน (Tannin)" ในเงาะเพื่อใช้เป็นยาแก้อักเสบและต้านเชื้อแบคทีเรีย
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูเงาะ
อย่างไรก็ดี สารแทนนินในเงาะนั้นมีอยู่สูง ซึ่งถ้าได้รับในปริมาณที่มากเกินอาจทำให้ท้องอืดหรือท้องผูกได้ โดยเฉพาะเมล็ดเงาะไม่ควรกินเพราะมีพิษ จะทำให้เกิดอาการปวดท้อง เวียนหัว มีไข้ขึ้น คลื่นไส้ และอาเจียน ดังนั้นควรกินเงาะในปริมาณที่พอดี โดยการกินเงาะ 6 ลูกต่อวัน ร่างกายจะได้พลังงานถึง 50 หน่วยพลังงานแคลอรี ซึ่งก็เพียงพอที่เราจะได้คุณค่าทางโภชนาการที่ครบถ้วนแล้ว









11 สรรพคุณของเงาะ...ประโยชน์ในการรักษาโรค

1 ประโยชน์ของเงาะช่วยอาการท้องเสีย สำหรับใครที่มักมีอาการท้องเสีย โรคบิด หรือท้องร่วงชนิดรุนแรง ให้หาเงาะมากินได้เลย เพราะจะช่วยให้อาการค่อยๆ ดีขึ้นไม่แพ้การใช้ยาเลย
2 สรรพคุณของเงาะช่วยรักษาอาการอักเสบในช่องปาก แก้อาการติดเชื้อ และฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ดีเชียว แต่การรักษาอาการเหล่านี้ควรเอาเงาะไปต้มแล้วจึงนำน้ำมาดื่มเพื่อเป็นยาแก้อักเสบ
3 เงาะมีประโยชน์เพราะวิตามินซีสูง ทราบกันไปแล้วว่าเงาะมีวิตามินซี แต่อยากย้ำอีกทีว่ามีสูงมาก เพราะแค่เรากินเงาะเพียง 5 ลูก ร่างกายก็จะได้วิตามินซีถึง 46 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน ทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงและทำงานดีขึ้น
4 เงาะมีแคลเซียม เป็นอีกหนึ่งแร่ธาตุที่มีอยู่ในเงาะ และมีประโยชน์ต่อการเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่กระดูกและฟัน
5 เงาะมีแมกนีเซียม ซึ่งจะช่วยในการรักษาระดับการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ รวมทั้งมีส่วนในการเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่กระดูกและฟัน (กระดูกและฟันจะแข็งแรงขึ้นก็เพราะเงาะละคราวนี้)
6 เงาะมีโพแทสเซียม ประโยชน์ช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย
7 เงาะมีประโยชน์บำรุงผิวพรรณ หลายคนอาจไม่รู้ว่าเงาะช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูสวยงาม สดใส เปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวลได้ไม่แพ้ผลไม้ชนิดอื่นๆ เลยทีเดียว
เปลือกเงาะมีประโยชน์ไม่แพ้เนื้อเงาะเช่นกัน มีการวิจัยพบว่าเปลือกเงาะมีสารสำคัญซึ่งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และมีพิษต่อเซลล์ภายในร่างกายน้อยมากเมื่อเทียบกับเปลือกผลไม้ชนิดอื่น
9 เงาะมีวิตามินบี 1 ที่ทำหน้าที่เผาผลาญคาร์โบไฮเดรตให้เป็นพลังงาน และส่งผลให้ระบบประสาท หัวใจ และทางเดินอาหารทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
10 เงาะก็มีวิตามินบี 2 จะช่วยดูแลผิวหนังและเนื้อเยื่อต่างๆ ให้พลังงานแก่ร่างกาย และช่วยบำรุงผิว เส้นผม และเล็บ
11 เงาะมีไนอาซิน หรือ วิตามินบี 3  เป็นสารอาหาร วิตามินที่มีอยู่ในเงาะเป็นสำคัญ มีสรรพคุณช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอล ช่วยเผาผลาญไขมัน ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น
เห็นสรรพคุณ และประโยชน์ของเงาะ กันขนาดนี้แล้ว คราวนี้คงเชื่อกันซะทีนะว่า เงาะจัดเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากๆ จริงๆ แต่ด้วยความที่เงาะมีรสชาติหวานจึงควรระวังในเรื่องการกินไว้ด้วย เพราะหากจะจัดกลุ่มผลไม้ที่มีน้ำตาลมากหรือน้ำตาลน้อย ก็ขอเตือนก่อนว่า เงาะจัดอยู่ในกลุ่มแรกนะ ฉะนั้นหากไม่อยากอ้วนก็ต้องกินในปริมาณที่เหมาะสมกันน้า อย่ามัวเพลินกับเนื้อแสนอร่อย จนเผลอทานเป็นกิโลๆ อ้วนง่ายๆ โดยไม่รู้ตัวเอานะ...จะบอกให้

ชมพู่

ชมพู่ ยาลดน้ำหนักจากธรรมชาติ

สรรพคุณ ประโยชน์ของชมพู่
"ชมพู่" เป็นผลไม้ที่คนไทยนิยมปลูกและนิยมกินกันไม่น้อยเลย เพราะว่าปลูกง่ายแถมยังโตเร็วอีกด้วย เราจึงมักพบเห็นได้โดยทั่วไปจนรู้สึกว่ามันเป็นผลไม้ที่คุ้นเคยและชินตา ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไร หรือก็แค่ทราบว่า...มันเป็นผลไม้นะ และผลไม้ทุกชนิดก็ล้วนมีประโยชน์ต่อสุขภาพเหมือนๆ กันแหละ

สรรพคุณของชมพู่...ฉ่ำน้ำ ทานเพื่อลดน้ำหนักได้

ก็ต้องขอบอกว่าถูกต้องสำหรับความรู้ว่า...ชมพู่เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของคนเรา ทว่าคงยังมีหลายคนทีเดียวที่อาจไม่รู้ว่า ชมพู่นั้นมีคุณสมบัติในการช่วยลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดีและดีมาก จนชมพู่ติดอันดับอยู่ในกลุ่มของผลไม้ที่กินแล้วไม่ทำให้อ้วน เพราะเป็นผลไม้ที่มีพลังงานต่ำและทำให้อิ่มง่าย แม้ว่าเมื่อกินมากๆ แล้วจะรู้สึกหนักท้องมาก แต่ยืนยัน นั่งยัน และนอนยันด้วยว่า กินชมพู่แล้วไม่ไปเพิ่มน้ำหนักให้มากขึ้นแน่นอน
นอกจากนี้ในชมพู่ยังมีคุณค่าทางสารอาหารที่หลากหลาย และที่สำคัญคือชมพู่มีประโยชน์ต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นวิตามินซีที่มีหน้าที่ช่วยปกป้องร่างกายจากสารอนุมูลอิสระ ใยอาหารในชมพู่นั้นมีทั้งชนิดที่ละลายน้ำและไม่ละลายน้ำซึ่งจะช่วยให้ระบบการขับถ่ายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แถมยังช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดและโรคหัวใจได้
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ชมพู่ ผลไม้

12 สรรพคุณของชมพู่...ประโยชน์เพื่อการรักษาโรค

  1 ชมพู่มีสรรพคุณเป็นยาลดน้ำหนักธรรมชาติ ที่ช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดีมากๆ เพราะชมพู่นั้นเป็นผลไม้ที่ฉ่ำน้ำจึงทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว มีแคลอรีต่ำมาก หากใครที่อยากลดน้ำหนักหรือควบคุมอาหารก็อย่าพลาดที่จะลิ้มลองชมพู่เป็นประจำ
   2 ประโยชน์ของชมพู่ช่วยให้ระบบการขับถ่ายดีขึ้น จากที่เกริ่นไปแล้วในข้างต้นว่าชมพู่สดมีใยอาหารที่ละลายน้ำได้และละลายน้ำไม่ได้ จึงทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างสมดุล ไม่มีปัญหามาให้กวนใจ
   3 ชมพูมีสรรพคุณป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ จากการวิจัยพบว่าการกินชมพู่สดเป็นประจำยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ รวมถึงโรคเกี่ยวกับหัวใจ ทำให้หัวใจแข็งแรง
4 ชมพู่มีวิตามินซีอยู่เป็นจำนวนมา ซึ่งสามารถช่วยในการฟื้นฟูร่างกายจากอาการไข้และรักษาโรคหวัด เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย
5 ชมพู่มีไลโคพีน (Lycopiene) คือรงควัตถุสีแดงที่มีความสำคัญในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีอยู่ในผลไม้ไม่กี่ชนิดเท่านั้นนะ
6 ประโยชน์ของชมพู่ช่วยป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อาทิ ยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหารได้
7 ชมพู่มีวิตามินเอก็ไม่น้อยเลย จึงช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคเกี่ยวกับสายตาได้ดี และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสายตาให้ดีขึ้น
8 ชมพูมีสรรพคุณลดไข้ แก้ท้องเสียได้ ตามตำรับยาแผนไทย หากนำชมพู่มาทำให้แห้งแล้วบดไว้เป็นยากินสำหรับใช้บำรุงร่างกายได้ ส่วนเมล็ดก็ใช้เป็นยาบรรเทาอาการท้องเสีย และใบก็ช่วยลดไข้ได้ด้วย
9 ชมพู่มีสรรพคุณบำรุงผิวพรรณ ช่วยในการสร้างคอลลาเจนที่มีความสำคัญต่อการดูแลผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณกระชับเต่งตึง และรักษาบาดแผลตามร่างกาย
10 ชมพู่อุดมด้วยแคลเซียมและแมกนีเซียม ที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กระดูกและฟัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้อาหารเสริมมาเป็นตัวช่วย
11 ชมพู่สดยังมีสรรพคุณทางยา รวมทั้งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของผลชมพู่ ที่จะช่วยบำรุงกำลัง ทำให้ร่างกายกระชุ่มกระชวย โดยเฉพาะช่วยบำรุงหัวใจได้มาก
12 ชมพู่มีประโยชน์ช่วยเพิ่มความสดชื่น เพราะเนื้อชมพู่สดมีน้ำค่อนข้างมาก จึงช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง บำรุงให้ผิวสวยสดใส หรือจะนำมาปั่นเป็นน้ำผลไม้ดื่มก็ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นได้ตลอดทั้งวัน และแก้กระหายน้ำได้ดี
คุณค่าทางโภชนาการต่างๆ ในเนื้อของชมพู่มีมากมาย ทั้งวิตามินหรือแร่ธาตุ อาทิ ฟอสฟอรัส คาร์โบไฮเดรต และสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย เรียกว่า...สรรพคุณและประโยชน์ของชมพู่นั้นเหมาะกับสาวๆ ที่อยากมีผิวพรรณสดใส หุ่นสวย ไม่ต้องอดอาหาร...โดยในการกินชมพู่หากมีรสไม่หวานมากสามารถกินได้ไม่เกิน 6 กิโลกรัม เพราะชมพู่ 1 กิโลกรัม จะให้พลังงาน 120 กิโลแคลอรี ชมพู่จึงถือเป็นผลไม้มหัศจรรย์สำหรับทุกคนที่ไม่ว่าจะกินมากแค่ไหน น้ำหนักก็ไม่เพิ่มขึ้นแน่นอน

มะละกอ

มะละกอ แคลอรี่ต่ำ ประโยชน์สูง

สรรพคุณ ประโยชน์ของมะละกอ
มะละกอ” (Papaya) ถือเป็นผลไม้ที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน เป็นผลไม้มากประโยชน์ที่นำมากินได้ทั้งสุกและดิบ มะละกอเป็นผลไม้ที่นำมาทำอะไรได้หลากหลาย แถมประโยชน์ก็ยังครบเครื่องตั้งแต่รากยันผล วันนี้เรามาทำความรู้จักกับสรรพคุณและประโยชน์มหาศาลจาก “มะละกอ” กันเลยดีกว่า...

มะละกอ...แคลอรี่ต่ำ ทานได้ทั้งสุกดิบ

ความมหัศจรรย์ของ “มะละกอ” คือทุกส่วนของมะละกอสามารถนำมาทำเป็นยาได้ ทั้งใบ ราก และผลของมัน อีกทั้งยังนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายทั้งคาวและหวาน อีกทั้งยังเป็นผลไม้แคลอรี่ต่ำ ไม่ทำให้อ้วน เมนูเบาๆ จากมะละกอจึงเป็นเมนูลดน้ำหนักที่ได้ความอร่อยลงตัว อาทิ “ส้มตำ” อาหารหลักของคนไทยที่ใช้มะละกอดิบเป็นส่วนประกอบหลัก ถือเป็นพระเอกของจานเลยก็ว่าได้
นอกจากมะละกอจะมีแคลอรี่ต่ำ ช่วยให้ขับถ่ายสะดวกแล้ว ความจัดจ้านของส้มตำยังช่วยสลายไขมันได้ด้วย นอกจากนั้น “มะละกอ” ยังนำไปทำเมนูอื่นๆ ได้อีกมากมาย เช่น ผัดไทยเส้นมะละกอ แกงคั่วมะละกอ ยำมะละกอ และมะละกอผัดไข่ เป็นต้น

14 ประโยชน์จากมะละกอ ไม่ทาน ไม่ได้แล้ว

มะละกอมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอวัย
มะละกอช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
3 มะละกอมีสรรพคุณช่วยให้ขับถ่ายสะดวก ลดพุง สลายไขมัน
4 ประโยชน์ของมะละกอนำมาทำเป็นยารักษาโรคนิ่วในระบบปัสสาวะได้ แก้ขัดเบา
มะละกอเป็นผลไม้บำรุงสมอง ทำให้เซลล์ประสาททำงานได้ดีขึ้น
6 มะละกอมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงหัวใจ เหมาะกับผู้ป่วยโรคหัวใจ
7 มะละกอดิบแก้โรคเกลื้อน และช่วยรักษาแผลพุพอง เป็นหนองได้
8 มะละกอเป็นผลไม้แก้ท้องผูก ช่วยให้ขับถ่ายสะดวก
9 มะละกอสุกช่วยล้างลำไส้ ทำให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น
10 มะละกอเป็นผลไม้บำรุงผิว นำมาขัดผิวให้เนียนนุ่มขึ้นได้
11 ใบของมะละกอช่วยรักษาแผลสด แผลอักเสบ น้ำร้อนลวกได้
12 ใบของมะละกอลดอาการคัน และช่วยลดผดผื่น หรือผิวบวมแดงได้
13 มะละกอเป็นผลไม้แคลอรี่ต่ำ ที่ให้พลังงานมาก เหมาะแก่ผู้ที่กำลังลดความอ้วน
14 ประโยชน์ของมะละกอช่วยลดอาการเลือดออก
ตามไรฟันได้


ขนุน

ของขนุน ถ้ารักสุขภาพจริง ไม่กินไม่ได้แล้ว

สรรพคุณ ประโยชน์ของขนุน
    คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักผลไม้ที่มีชื่อว่า "ขนุน" (Jackfruit) แน่นอน เพราะเป็นผลไม้ที่คนไทยนิยมปลูกเอาไว้ตามบ้าน ด้วยความเชื่อว่าจะช่วยหนุนบารมี เงินทอง ให้มากยิ่งๆ ขึ้นตามชื่อของมันนั่นเอง ขนุนเป็นผลไม้ที่มีเนื้อหวานหอม แต่สำหรับบางคนอาจรู้สึกว่ากลิ่นหอมนี่แรงไปหน่อย เลยไม่ค่อยชอบกินหรือไม่กินเลย ทว่าหากเรามองข้ามเรื่องนี้ไปจะพบว่า ขนุนมีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพรที่ช่วยรักษาโรคได้อย่างไม่น่าเชื่อ...ฟังอีกครั้งว่าไม่น่าเชื่อจริงๆ นะ

สรรพคุณของขนุน มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย อาทิ วิตามินเอ วิตามินซี ไทอามีน ไนอาซิน แคลเซียม โพแทสเซียม เหล็ก สังกะสี โซเดียม และมีวิตามินบีรวมซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีอยู่ในผลไม้ไม่กี่ชนิด นอกจากนี้ก็มีส่วนประกอบของไฟโตนิวเทรียนต์ซึ่งมีความสามารถในการต่อต้านมะเร็งและช่วยลดความดันโลหิต แถมยังมีเกลือแร่ ไฟเบอร์ และโปรตีนสูง แต่มีไขมันและคอเลสเตอรอลน้อย พลังงานต่ำ และมีคุณสมบัติช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัสที่ทำลายภูมิคุ้มกันให้อ่อนแอ

13 สรรพคุณของขนุน ประโยชน์เพื่อการรักษาโรค

1. ขนุนอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ สารไฟโตนิวเทรียนต์ และวิตามินซี จึงมีสรรพคุณช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้หลายชนิด เช่น มะเร็งในช่องปาก มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งผิวหนัง มะเร็งต่อมลูกหมาก ฯลฯ โดยจะปกป้องเซลล์ในร่างกายและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
  2. ขนุนเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง ทำให้ช่วยลดระดับความดันสูงให้มีความสมดุล บำรุงหัวใจ ลดความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติของหลอดเลือดไม่ให้อุดตัน
  3. ขนุนมีธาตุเหล็กและแมกนีเซียม ที่มีความจำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดขาว ซึ่งจะส่งผลดีในการช่วยให้เราห่างไกลจากโรคโลหิตจาง
4. ประโยชน์ของขนุนช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ธาตุเหล็กและแมกนีเซียมในขนุนยังมีส่วนช่วยสนับสนุนให้ฮอร์โมนเมลาโทนินทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลทำให้นอนหลับง่ายและนอนหลับสบายขึ้น
5. ขนุนมีแคลเซียม ที่ช่วยป้องกันการสูญเสียของมวลกระดูก และบำรุงกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุน โดยวิตามินซีและแมกนีเซียมที่มีอยู่ในขนุนจะมีหน้าที่ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมได้มากขึ้นด้วย
6. ขนุนมีประโยชน์ช่วยบำรุงสายตา ทำให้การมองเห็นชัดเจน ลดปัญหาประสาทตาเสื่อม ป้องกันโรคต้อกระจกและโรคตาบอดกลางคืนได้ โดยผู้ที่ทำหน้าที่ช่วยดูแลและรักษาปัญหานี้คือวิตามินเอนั่นเอง
7. กินขนุนแล้วยังส่งผลดีต่อผิวพรรณ ลดริ้วรอย พร้อมปกป้องผิวจากแสงแดดและมลพิษที่เป็นตัวการทำให้ร่างกายแก่ก่อนวัย เพราะในขนุนมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
8. ขนุนช่วยระบบย่อยอาหาร โดยพบว่าขนุนทำให้ระบบย่อยอาหารมีการทำงานที่ดีขึ้น เนื่องจากในขนุนมีไฟเบอร์ค่อนข้างสูง จึงเป็นตัวช่วยในการระบายที่ดี ป้องกันอาการท้องผูก และยังช่วยทำความสะอาดลำไส้จากสารพิษที่ร่างกายขับออกทางลำไส้ใหญ่
9. ขนุนมีสรรพคุณสร้างภูมิคุ้มกัน วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระในขนุนจะช่วยเสริมสร้างให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง ทำให้ไม่เจ็บป่วยด้วยอาการเล็กน้อยง่ายๆ เช่น ไข้หวัด ปวดหัว ไอ เจ็บคอ ฯลฯ เพียงกินขนุน 4-5 ชิ้น ก็ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและสารต้านอนุมูลอิสระที่เพียงพอแล้ว
10. ขนุนมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส จึงใช้เป็นยารักษาอาการอักเสบต่างๆ และไม่มีผลข้างเคียงต่อการรักษาแผลพุพองหรือแผลเปื่อย
11. ประโยชน์ของขนุนช่วยบำรุงประสาท-สมอง วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ รวมทั้งสารอาหารสำคัญอย่างไทอามีนและไนอาซินในขนุนจะช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง บรรเทาอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง
12. เม็ดขนุนต้มมีโปรตีนสูง สามารถนำมาใช้กินแทนถั่วได้ ส่วนในเนื้อขนุนก็มีคาร์โบไฮเดรตเยอะและเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ใช้เวลาย่อยนานทำให้รู้สึกอิ่มนานด้วย ทั้งเนื้อขนุนและเม็ดขนุนต้มจึงเหมาะกับคนที่อยากลดน้ำหนัก
13. ขนุนมีแมงกานีสมาก ซึ่งจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดี
แทบไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมว่า ผลไม้อย่างขนุนจะมีสรรพคุณและประโยชน์ต่อร่างกายมากมายขนาดนี้ เพราะฉะนั้นใครที่อยากสุขภาพดีต้องกินขนุนกันให้บ่อยขึ้นแล้วล่ะ แต่เดี๋ยวก่อน!!! ขนุนนั้นมีรสชาติหวาน แม้จะมีคุณค่าทางสารอาหารมากเพียงใด ก็ควรกินในปริมาณที่พอดีด้วย เท่านี้เราก็จะได้รับประโยชน์จากขนุนไปแบบเต็มๆ แน่นอน

มะม่วง

มะม่วง ต่อต้านโรคได้

ประโยชน์ของมะม่วง
“หวานเป็นลม ขมเป็นยา” เห็นทีจะไม่จริงเสมอไปเพราะ “มะม่วง” (Mango) ผลไม้ที่อร่อยได้ทั้งสุกและดิบ หลายๆ คนชื่นชอบผลไม้ชนิดนี้เพราะหอมหวาน หรือเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดก็กินเพลินสนุกปาก แต่ผลไม้อย่าง “มะม่วง” มีดีมากกว่านั้นเพราะคุณประโยชน์ของมันอัดแน่นเต็มผล ใครที่ยังไม่รู้ว่ามะม่วงมีดีอย่างไรมาหาคำตอบกันเลยดีกว่า...

มะม่วง อุดมด้วยวิตามิน แร่ธาตุ ประโยชน์มากกว่าที่คิด

      หากจะหาผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินหลายชนิด มั่นใจเลยว่า “มะม่วง” คือหนึ่งในผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินมากมายไม่ว่าจะเป็น วิตามินซี ที่ช่วยแก้หวัด และบำรุงผิวพรรณ วิตามินบีที่ช่วยไม่ให้เป็นโรคปากนกกระจอก และช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง วิตามินเอที่บำรุงสายตา ช่วยในการมองเห็น เท่านี้ยังไม่หมดเพราะมะม่วงยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการอย่าง แคลเซียม ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส อีกทั้งยังเป็นผลไม้ไขมันต่ำ กินแล้วไม่อ้วน แถมยังมีไฟเบอร์สูงช่วยให้ขับถ่ายสะดวกอีกด้วย บอกเลยว่าผลไม้อย่าง “มะม่วง” ไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะนอกจากจะอร่อยได้ทั้งสุก และดิบแล้วยังเต็มเป็นด้วยคุณประโยชน์มากมายขนาดนี้ มาดูกันดีกว่าว่าสรรพคุณของมะม่วงมีอะไรบ้าง

18 สรรพคุณดีๆ จากมะม่วง...ประโยชน์เพื่อสุขภาพที่ดี

1. มะม่วงมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก้ร่างกาย และช่วยชะลอวัย มะม่วงทำให้ร่างกายได้รับเบต้าแคโรทีนที่ช่วยให้ผิวพรรณสดใส
2. มะม่วงช่วยต้านมะเร็ง (มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด และมะเร็งต่อมลูกหมาก)
3. มะม่วงมีสรรพคุณช่วยคลายเครียด มะม่วงสุกมีรสหอมหวานช่วยให้ร่างกายสดชื่น แก้เครียด แก้หงุดหงิดได้ แถมยังช่วยให้สบายท้อง และทำให้นอนหลับสนิทขึ้น
4. มะม่วงเป็นผลไม้บำรุงสายตา
5มะม่วงดิบมีแคลเซียมสูง และช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
6. มะม่วงดิบแก้คลื่นไส้ อาเจียนได้ดี
7. ประโยชน์ของมะม่วงช่วยแก้อักเสบ มะม่วงช่วยให้แผลที่มุมปากหายเร็วขึ้น ช่วยลดการอักเสบ แก้ร้อนใน และแผลในปาก
8. มะม่วงมีไฟเบอร์สูง ทำให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น ขับถ่ายสะดวกขึ้น ส่วนมะม่วงสุกช่วยแก้อาการบิด และอาการถ่ายอุจจาระเป็นเลือด
9. มะม่วงช่วยให้อิ่มเร็วขึ้น แต่เผาผลาญได้เร็วด้วยเช่นกัน มะม่วงเป็นผลไม้ที่มีไขมันดีที่ร่างกายต้องการ กินแล้วไม่อ้วน ช่วยสลายไขมันเลวที่สะสมในร่างกายได้
10. มะม่วงช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ ใบมะม่วงช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ และช่วยรักษาโรคลำไส้อักเสบได้
11. มะม่วงช่วยรักษาโรคตาลขโมยในเด็ก
12. มะม่วงสุกช่วยแก้ไข้หวัด
13. มะม่วงดิบสรรพคุณช่วยเยียวยาโรคเบาหวานได้ ส่วนใบมะม่วงเมื่อนำมาต้มดื่มจะช่วยเยียวยาผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ เป็นสูตรสมุนไพรโบราณ
14. มะม่วงเป็นผลไม้ที่ช่วยขับปัสสาวะได้
15. มะม่วงมีประโยชน์บำรุงผิวสวย มะม่วงเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามิน และมีเบต้าแคโรทีนที่ดีต่อการฟื้นฟูผิว ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว หากนำมาพอกหน้าจะช่วยให้รูขุมขนกระชับ
16. มะม่วงมีโพแทสเซียม ที่ช่วยควบคุมสมดุลในร่างกาย ป้องกันโรคลมแดด
17. มะม่วงเป็นผลไม้บำรุงร่างกายที่ช่วยกระตุ้นสมรรถภาพทางเพศ
18. ประโยชน์ของใบมะม่วงช่วยสมานแผล ใบของมะม่วงก็มีประโยชน์ไม่แพ้เนื้อมะม่วงเพราะสามารถรักษาบาดแผลสดได้ ใบมะม่วงเป็นสมุนไพรที่ช่วยสมานแผล แก้อักเสบได้ดี
ทั้งหมดนี้เป็นสรรพคุณและประโยชน์ 18 ข้อจากมะม่วง ผลไม้ที่ทั้งอร่อย แถมยังอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ ทั้งยังช่วยต้านโรคภัยได้ นอกจากเนื้อมะม่วงจะอุดมไปด้วยสารอาหารและวิตามินที่ร่างกายต้องการแล้ว ใบของมะม่วงก็นับว่าเป็นสมุนไพรที่ช่วยเยียวยาบาดแผลสดได้อีก เป็นผลไม้ที่ถือว่าเป็นยารักษาโรคโดยแท้

ทุเรียน

ทุเรียน มีทั้งโทษ และประโยชน์

สรรพคุณ ประโยชน์ของทุเรียน

          หากเอ่ยชื่อ “ราชาผลไม้ไทย” คงไม่มีใครไม่รู้จัก “ทุเรียน”(Durian) ผลไม้ที่มีเปลือกเป็นหนาม เนื้อสีเหลืองทองกับรสชาติเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกับผลไม้ใดๆ ในโลก อีกทั้งกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ บางคนก็ว่าเหม็น บางคนก็ว่าหอม อีกทั้งในช่วงฤดูกาลของทุเรียน ราชาผลไม้เนื้อแน่นรสหวานมันก็จะมีราคาสูงขึ้นไปตามพันธุ์ และขนาดของมัน เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า “ทุเรียน” หากกินในปริมาณที่มากเกินไปก็จะให้โทษแก่ร่างกายได้ เพราะเป็นผลไม้ที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง และทำให้ตัวร้อน แต่จริงๆ แล้วทุเรียนมีประโยชน์ต่อสุขภาพไม่แพ้ผลไม้ชนิดอื่นๆ อย่างที่หลายคนอาจไม่เคยรู้

15 สรรพคุณของทุเรียน...ประโยชน์ที่ใครหลายคนอาจยังไม่รู้

1. ทุเรียนเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานแก่ร่างกายสูง
2. เนื้อทุเรียนช่วยฆ่าเชื้อโรคในร่างกายได้ เพราะกำมะถันในเนื้อทุเรียนจะทำหน้าที่เสมือนยาฆ่าเชื้ออ่อนๆ
3. ประโยชน์ของทุเรียนช่วยเผาผลาญ ทุเรียนเป็นผลไม้ที่กินแล้วทำให้ร่างกายเกิดความร้อน จึงเป็นผลไม้ที่ช่วยเผาผลาญได้
4. ทุเรียนมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ เนื้อทุเรียนมีกากใยอาหารสูงมากๆ ดีต่อระบบขับถ่าย กินแล้วช่วยระบายท้องได้ดี
5. ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีไขมันสูง หากกินแต่พอดีก็จะได้รับไขมันดีที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย
6. ทุเรียนมีฟอสฟอรัส ที่ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย
7. ทุเรียนมีสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะทุเรียนพันธุ์หมอนทอง มีใยอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าทุเรียนพันธุ์อื่นๆ
8. ทุเรียนพันธุ์หมอนทองช่วยลดไขมันเลวในร่างกายได้
9. เนื้อทุเรียนมีโพแทสเซียมสูง ช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานที่แข็งแรง
10. เนื้อทุเรียนดิบมีแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
11. ทุเรียนมีประโยชน์ ลดผมขาว ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีวิตามินบี 9 สูง ช่วยชะลอการเกิดผมหงอก ผมขาวได้
12. ทุเรียนมีสรรพคุณแก้ท้องเสีย รากทุเรียนเป็นยาตำรับโบราณ ใช้แก้ท้องร่วง ท้องเสียได้
13. ใบทุเรียนเป็นสมุนไพรใช้ขับพยาธิ
14. เปลือกทุเรียนช่วยเยียวยาแผลเปื่อย แผลพุพองได้
15. ประโยชน์ของทุเรียนบำรุงผิว เนื้อและเปลือกของทุเรียนสามารถแก้โรคผิวหนัง และทำให้สีผิวเสมอกัน
นอกจากสรรพคุณและประโยชน์ของทุเรียนทั้ง 15 ข้อนี้แล้วทุเรียนยังได้ชื่อว่าเป็นผลไม้แห่งความอุดมสมบูรณ์ และเป็นผลไม้ที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจ อยากจะได้ลิ้มลองมากที่สุด ด้วยรสชาติที่มีความเฉพาะตัว มีความหวานมันทำให้ทุเรียนสามารถนำไปแปรรูปเป็นอาหารได้หลากหลาย เช่น ทุเรียนทอดกรอบ ทุเรียนแช่อิ่ม ทุเรียนกวน ทุเรียนดอง ทอฟฟี่ทุเรียน ไอศกรีมรสทุเรียน ไส้ขนมปังและขนมไหว้พระจันทร์ ส้มตำทุเรียน ข้าวเหนียวทุเรียนน้ำกะทิ เป็นต้น

เปลือกทุเรียน...มีประโยชน์ ทิ้งแล้วจะเสียดาย

   นอกจากเนื้อทุเรียนจะสามารถนำไปแปรรูปได้แล้ว “เปลือกทุเรียน” ก็ยังมีประโยชน์ด้วยเหมือนกัน อย่าเพิ่งทิ้งเปลือกที่เต็มไปด้วยหนามแหลมเป็นอันขาด เพราะเปลือกทุเรียนเป็นยารักษาโรคตานซาง และโรคที่เกี่ยวกับน้ำเหลืองได้ อีกทั้งเปลือกของทุเรียนยังสามารถนำไปรีไซเคิลเป็นกระดาษชนิดต่างๆ ได้อีกด้วย

ผู้ป่วยโรคใดไม่ควรกินทุเรียน

1. ผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่ควรกินทุเรียน เพราะทุเรียนมีแป้งและน้ำตาลสูง
2. ผู้ที่เป็นโรคหอบหืด หากกินทุเรียนในปริมาณมากจะทำให้จุก แน่น หายใจติดขัด
  3. ผู้ป่วยโรคความดันสูง ไม่ควรกินทุเรียนมากเนื่องจากจะทำให้แน่นท้อง หายใจไม่ออกเช่นเดียวกับโรคหอบหืด
  4. ผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อน ไม่ควรกินทุเรียนมากเนื่องจากจะทำให้เกิดอาการแน่นท้อง
  5. ผู้ป่วยโรคหัวใจ ไม่ควรกินทุเรียนเนื่องจากในทุเรียนมีกำมะถันสูง
6. ผู้ป่วยโรคเกาต์ไม่ควรกินทุเรียนที่สุกงอม หรือหวานจัดมากเกินไปเนื่องจากส่งผลต่อความดันเลือด
7. ผู้ป่วยโรคไต ไม่ควรกินทุเรียนเนื่องจากในทุเรียนมีโพแทสเซียมสูง
ได้รู้ทั้งประโยชน์ และโทษของทุเรียนไปแล้ว ก็หวังว่าผู้ที่โปรดปรานความหอมมันของทุเรียนจะพึงกินอย่างระวัง และกินอย่างพอดี เพื่อไม่ให้ทุเรียนของโปรดมาส่งผลเสียต่อร่างกายได้ เพราะกินพอดีๆ ก็จะได้ประโยชน์ไป แต่ถ้ากินแบบไม่รู้จักพอก็จะได้รับโทษจากทุเรียน ส่วนผู้ที่เป็นโรคตามที่กล่าวไปข้างต้นก็ควรเลี่ยงผลไม้อย่างทุเรียน หรือกินทุเรียนให้น้อยลง ด้วยความหวังดีนะจ๊ะ